สวัสดีครับ วันนี้พวกเราKUBET พาทุกคนไปต่อกับเรื่องของคนดูที่เปลี่ยนไป ดูหนังในโรงน้อยลง หรือหากคนที่จูงมือกันเข้าไปดูหนังในโรง หนังนั้นต้องน่าดูมากๆ ทีนี้กลายเป็นว่าค่ายยักษ์ใหญ่ต่างพากันได้รับผลกระทบกันอย่างหนักหน่วง ต้องเตรียมรับมือกับพฤติกรรมคนที่เปลี่ยนไป รวมถึงกับ ต้องผลิตหนังที่น่าสนใจมาดึงดูดให้คนเข้าไปดูในโรง เนื้อความในวันนี้จะต่อจากพาร์ทที่แล้ว เป็นอย่างไร ไปติดตามกันได้เลยครับ
พฤติกรรมของคนดูที่เปลี่ยนไป
ในยุคที่ทุกคนเลือกดูหนังที่บ้านได้ การเป็นหนังจากแบรนด์ดังหรือหนังภาคต่ออาจไม่พออีกต่อไป แม้ว่าหนังเรื่องBarbie จะถูกสร้างจากของเล่นแบรนด์ดัง หรือOppenheimer จะมีชื่อเสียงของผู้กำกับอย่าง Christopher Nolan ดึงดูดสายตาผู้ชมและหนังทั้งสองเรื่องนี้ต่างมีวิธีการนำเสนอที่ต่างจากหนังใหญ่ทั่วไป ในเคสของบาร์บี้มีการใช้ปรัชญาการมีชีวิตอยู่ แถมยังตีแสกหน้า Toxic masculinity ที่ควรจะKenough
แต่ฝั่งของOppenheimer ก็เป็นหนังอิงประวัติศาสตร์ แต่ความไม่เหมือนใครกลับสามารถสร้างรายได้ทั่วโลกรวมกันเกือบ 3 พันล้านเหรียญ และกลายเป็นปรากฏการณ์ Barbenheimer ดึงผู้ชมกลับสู่โรงภาพยนตร์แบบแพ็กคู่
อีกหนึ่งเคสที่กลายเป็นเครื่องชี้วัด การที่สตูดิโอยักษ์ใหญ่อย่างดิสนีย์ที่เคยได้ฉายาว่าเป็นเจ้าแห่งโรงหนังที่ไม่มีใครโค่นล้มได้ พวกเขาเสียแชมป์บ๊อกซ์ออฟฟิศอันดับหนึ่งแห่งปี ให้กับUniversal Pictures ที่กวาดรายได้รวมกันทั้งปีกว่า 4.9 พันล้านเหรียญ นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2015 ที่ดิสนีย์ไม่ได้แชมป์หนังแห่งปี แถมหนังใหญ่กว่าแปดเรื่องที่ดิสนีย์หวังว่าจะทำเงินได้อย่างมหาศาล กลับทำให้พวกเขาสูญเสียรายได้ไปกว่า 1พันล้านเหรียญ
เคล็ดลับความสำเร็จของ Universal Pictures
ความสำเร็จของ Universal Pictures ไม่ได้มีเพียงแค่ Oppenheimer ตลอดทั้งปีสตูดิโอลูกโลกเจ้านี้ ได้ส่งหนังเข้าฉายในโรงกว่า 24 เรื่อง พวกเขามีหนังหลากหลายแนวไม่ซ้ำกัน แต่หนังสยองขวัญม้ามืดสุดฮิตอย่างเรื่อง Megan หรือจะเป็นอนิเมชั่นขวัญใจเด็กๆอย่าง Trolls Band Together จากวิดีโอเกมสุดฮิตจาก The Super Mario Bros. Movie และ Five Nights At Freddy’s หรือจะเป็นหนังสุดเพี้ยนแต่ทำเงินอย่างเรื่อง Cocaine Bear
KUBET ว่าไม่ได้นะครับ เพราะผลงานทั้งหมดกลับดึงดูดผู้ชมให้เข้าไปดูได้ทุกเพศทุกวัยเลย
Universal Pictures
อีกหนึ่งเคล็ดลับของDonna Langley ผู้บริหารแห่ง Universal Pictures คือการสร้างหนังที่ใช้ทุนสร้างไม่สูงเกินไป ทำให้โอกาสหนังถึงจุดคุ้มทุนกลายเป็นเรื่องไม่ไกลเกินเอื้อม ผิดกับฝั่งดิสนีย์ที่หนังแทบทุกเรื่องของพวกเขาต่างมีทุนสร้างโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 150-200 ล้านเหรียญ โดยงบเหล่านี้ยังไม่รวมงบโปรโมท หมายความว่าหนังใหญ่ของดิสนีย์ต้องทำเงินแตะ 500 ล้านเหรียญ ถึงจะอยู่ในจุดคุ้มทุน
จากผลงานทั้ง 17 เรื่องของพวกเขาตลอดปี 2023 มีเพียงสองเรื่องเท่านั้นก็คือ Guardians of the Galaxy Vol 3 และ The Little Mermaid ที่สามารถทำรายได้เกิน 500 ล้านเหรียญ
เคล็ดลับความสำเร็จของ Lionsgate
อีกหนึ่งสตูดิโอที่น่าประทับใจไม่แพ้กันคือ Lionsgate ภายใต้การบริหารของ Adam Fogelson ผู้อยู่เบื้องหลังของผลงานอย่าง John Wick Chapter 4 และ The Hunger Games: The Ballad of Songbirds & Snakes ที่เป็นหนังใหญ่แต่ไม่ได้ใช้ทุนสร้างเยอะ ที่สำคัญพวกเขายังเข้าใจฐานแฟนคลับของแฟรนไชส์ต้องการอะไร นั่นส่งผลให้สตูดิโอขนาดกลางเจ้านี้เข้าเส้นชัยได้อย่างสวยงาม
ปี 2024 ยังคงน่ากังวลไม่แพ้กันเมื่อจำนวนหนังเข้าฉายมีน้อยลง ผลพวงจากการประท้วงหยุดงานของสมาคมนักเขียนบทและนักแสดง ส่งผลให้หนังมากมายต้องเลื่อนการถ่ายทำและกำหนดฉายกันใหม่ ต้องรอจนถึงปี 2025 หรือปี 2026 กว่าที่โลกภาพยนตร์จะกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เรียกได้ว่างานนี้อะไรที่เคยเป็นของฮิตนับตั้งแต่นี้ไม่มีอีกแล้ว
เหตุการณ์แบบนี้ไม่ใช่หายนะ แต่มันคือวิวัฒนาการใหม่ที่ทำให้รู้ว่าผู้ชมยุคนี้ต้องการผลงานที่สดใหม่และน่าสนใจกว่าเดิม หวังว่าความล้มเหลวในครั้งนี้จะเป็นเครื่องเตือนใจให้ทุกสตูดิโอไตร่ตรองกันให้ดีว่าควรสร้างหนังแบบไหน ใช้งบประมาณเท่าไหร่ที่จะตอบโจทย์ผู้ชมได้มากที่สุด
จบไปแล้วครับ สำหรับผลกระทบที่แอดเองคิดว่าค่อนข้างจะร้ายแรงต่อหลายสตูดิโอที่ผลิตภาพยนตร์ หากไม่กระทบต่อเงินในกระเป๋าอยากให้ทุกคนชวนกันไปดูหนังนะครับ คุณจำได้ไหมครับว่าดูหนังครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ และเรื่องนั้นเป็นเรื่องอะไร?
KUBET เว็บไซต์ลับความบันเทิงระดับโลก ที่นี่คุณสามารถดูข่าวบันเทิงล่าสุด ชีวิตดารา ข่าวดารา ซุบซิบดารา ฯลฯ ให้คุณได้รู้จักและติดต่อนักร้องและดาราที่คุณชื่นชอบได้อย่างใกล้ชิด รวมถึงคุณสามารถอัปเดตหนังดัง ที่มาที่ไป เบื้องลึกเบื้องหลัง ของหนังหรือการ์ตูนที่คุณชื่นชอบได้ที่นี่เลย