หนึ่งในอาชีพที่สามารถทำรายได้เป็นกอบเป็นกำในเส้นทางบันเทิงคงหนีไม่พ้นอาชีพนักแสดง โดยเฉพาะนักแสดงที่โด่งดังระดับซุปเปอร์สตาร์ก็จะมีอำนาจต่อรองสูงมากในการเรียกค่าตัวของพวกเขาบางคนก็เรียกค่าตัวได้ถึง10ล้านดอลลาร์ หรือบางคนสามารถเรียกได้สูงถึง100ล้านดอลลาร์เลยทีเดียว วันนี้ทีม KUBET จะมาไขข้อสงสัยครับว่าดาราดังๆ เขาเรียกค่าตัวกันอย่างไร
อาจจะทำให้หลายคนสงสัยกันใช่ไหมครับว่า ทำไมซุปเปอร์สตาร์บางคนชื่อเสียงโด่งดังพอๆกัน แต่กลับได้รับค่าตัวต่างกัน นั่นเป็นเพราะค่าตกลงและสัญญาว่าจ้าง ที่บริษัทเอเจนซี่และนักแสดงได้ทำกับบริษัทจ้างหนังมีเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไป ไปดูกันครับว่าดาราฮอลลีวูดเขามีเงื่อนไขและการเรียกค่าตัวกันอย่างไรบ้าง
CASH UP FRONT จ่ายค่าตัวก่อนเริ่มถ่ายทำ
นี่คือสัญญาการว่าจ้างแบบมาตรฐานสุด เงื่อนไขก็ง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน เอเจนซี่จะเรียกค่าตัวตามเรทราคาของนักแสดงคนนั้นและถ้าสตูดิโอตกลง ก็เรียกนักแสดงมาเซ็นสัญญาและจ่ายค่าตัวก่อนหนังจะเริ่มถ่ายทำได้เลย โดยเรทค่าตัวก็จะขึ้นอยู่กับความโด่งดังของนักแสดงคนนั้น
นักแสดงที่ยังไม่ค่อยมีชื่อเสียง
หากเป็นนักแสดงที่ยังไม่ค่อยมีชื่อเสียง หากรับบทนำในหนังทุนต่ำก็อาจจะได้ค่าตัวหลักพันหรือหลักหมื่นดอลลาร์เท่านั้น แต่ถ้าเป็นบทนำในหนังทุนสูงค่าตัวก็จะอยู่ที่หลักแสน อย่างเช่น กัล กาด็อท ตอนที่เล่นหนัง Wonder Women ภาคแรก เธอได้ค่าตัวอยู่ที่3แสนดอลลาร์ แต่ต่อมาเมื่อเธอโด่งดังระดับโลก เธอสามารถเรียกค่าตัวได้สูงถึง10ล้านดอลลาร์เลยทีเดียวใน Wonder Women ภาค2 KUBET อึ้งกันไปเป็นแถวเลยครับจากนักแสดงที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียง เรียกได้ว่ารวยแบบกะพริบตาไปเลย
นักแสดงดาวรุ่งที่เริ่มมีชื่อเสียง
ส่วนนักแสดงดาวรุ่งที่เริ่มมีชื่อเสียงและหนังทำเงินมีเครดิตมาบ้างแล้ว อย่างเช่น ไมเคิล บี จอร์แดน, มาร์โก ร็อบบีหรือเซอร์ชา โรนัน ก็จะมีเรทค่าตัวอยู่ที่5-10ล้านดอลลาร์
แต่ถ้ามีหนังทำเงินต่อเนื่องมาแล้ว 5-10ปี อย่างเช่น คริส ไพน์, คริส แฮมส์เวิร์ธ, เอมิลี่ บลันท์ ก็จะได้รับค่าตัวอยู่ที่ 10-15 ล้านดอลลาร์
ซุปเปอร์สตาร์
ส่วนนักแสดงระดับซุปเปอร์สตาร์ที่มีหนังทำเงินและสะสมชื่อเสียงมานานกว่า10ปี อย่างเช่น ดเวย์น จอห์นสัน, ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ, วิลล์ สมิธ, แองเจลิน่า โจลี่ นักแสดงเหล่านี้การันตีค่าตัวในหนังฟอร์มยักษ์ไว้ก่อนได้เลย ที่อย่างต่ำ15ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะสูงไปขนาดไหน ต้องขึ้นอยู่กับอำนาจต่อรองในขณะนั้นครับ ซึ่งบางคนสามารถเรียกค่าตัวได้มากกว่า50ล้านดอลลาร์ต่อเรื่องเลยทีเดียว
หรืออีกกรณีที่นักแสดงอาจจะไม่ได้โด่งดังเท่าในอดีต แต่ถ้าเขากลับไปรับบทนำในหนังแฟรนไชส์ดังของตัวเอง พวกเขาก็อาจจะเรียกค่าตัวได้ในระดับ20ล้านดอลลาร์ได้เช่นกัน
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านักแสดงระดับซุปเปอร์เอลิสเหล่านี้จะเรียกค่าตัวได้เรทนี้ได้ทุกกรณี เพราะถ้าหากพวกเขารับบทนำในหนังคุณภาพ ที่กลุ่มผู้ชมอาจจะแคบลงมาพวกเขาก็ต้องยอมลดค่าตัวลงมาด้วยเช่นกัน
ซึ่งสาเหตุที่ซุปเปอร์สตาร์เหล่านี้ยอมลดค่าตัวของตัวเองลงมา หรือบางคนไม่รับแม้แต่ดอลลาร์เดียว อย่างเช่น เจนนิเฟอร์ โลเปซ ก็เพราะพวกเขาไม่อยากพลาดโอกาสสำคัญในการรับบทบาทที่จะปลดปล่อยศักยภาพทางการแสดงของตัวเองออกมา ในระดับที่อาจจะทำให้พวกเขาเข้าชิงรางวัลออสการ์
แต่ก็มีบางกรณีที่นักแสดงยอมลดค่าตัวลงมาแล้ว แต่ก็สูงเกินกว่าที่สตูดิโอจะจ่ายไหว พวกเขาจึงต้องไม่รับค่าตัวจากงานชิ้นนั้นและขอเปลี่ยนเป็นส่วนแบ่งจากรายได้หนัง ซึ่งสัญญาแบบนี้เรียกว่า PERFORMANCE-BASED PAY รับค่าตัวตามผลสำเร็จของหนัง (ได้รับส่วนแบ่งจากรายได้หนัง หลังสตูดิโอแบ่งให้โรงหนังแล้ว)
ติดตามเรื่องราวของสัญญาว่าจ้างของเหล่าดาราฮอลลิวูดได้ในพาร์ท2 กันได้เลยนะครับ
KUBET เว็บไซต์ลับความบันเทิงระดับโลก ที่นี่คุณสามารถดูข่าวบันเทิงล่าสุด ชีวิตดารา ข่าวดารา ซุบซิบดารา ฯลฯ ให้คุณได้รู้จักและติดต่อนักร้องและดาราที่คุณชื่นชอบได้อย่างใกล้ชิด รวมถึงคุณสามารถอัปเดตหนังดัง ที่มาที่ไป เบื้องลึกเบื้องหลัง ของหนังหรือการ์ตูนที่คุณชื่นชอบได้ที่นี่เลย