สวัสดีครับ มาเจอกันกับพวกเราKUBET อีกแล้วกับเรื่องราวของดิสนีย์ ใครที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ดิสนีย์นี่ บอกเลยว่าจี๊ดแน่นอน เพราะอย่างที่เห็นกันมาบ้างแล้วกับความดิ่งของดิสนีย์ที่เราได้เล่าไว้ใน หรือนี่จะเป็นสัญญาณเตือนว่าหมดยุคของดิสนีย์แล้ว Part1 โดยเนื้อหาในวันนี้จะมีอะไรบ้างไปต่อกันเลยครับ
หมดยุคของดิสนีย์แล้วจริงหรือ?
ภาพยนตร์เรื่องElemental จะเกิดอะไรขึ้นถ้าบางสิ่งบางอย่างเกิดมีชีวิตขึ้นมาจริงๆและสามารถพูดคุยได้ ก็เป็นคอนเซ็ปต์ที่ถูกใช้ซ้ำๆมาตั้งแต่ Toy story, Cars and Inside out ในขณะที่แก่นเรื่องที่ว่าด้วยการโอบรับความแตกต่างหลากหลาย รวมถึงการสอดแทรกนัยยะเรื่องการเรียกร้องความเท่าเทียมของกลุ่มคนชายขอบ ก็เป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่าในอนิเมชั่นของดิสนีย์และพิกซาร์ในระยะหลัง จนคนดูอาจจะเริ่มเบื่อหน่ายเพราะเห็นกันมาตั้งแต่Zootopia, Frozen, LUCA and Encanto
เมื่อเปรียบเทียบอนิเมชั่นของพิกซาร์ในยุคที่John Lasseter ยังดำรงตำแหน่งประธานฝ่ายความคิดสร้างสรรค์ จะเห็นได้ว่าหนังแต่ละเรื่องมีแก่นสารและให้แง่คิดที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็น
– แนวคิดเรื่องคุณค่าที่แท้จริงของของเล่นในแฟรนไชส์เรื่อง Toy story
– แนวคิดเรื่องความสำคัญของสิ่งเล็กๆรอบตัวที่เราอาจหลงลืมไปใน Cars
– การนำเสนอความซับซ้อนทางอารมณ์ของมนุษย์ด้วยภาษาภาพยนตร์ที่เข้าใจง่ายในInside out
– แนวคิดเรื่องความตายที่ยังยึดโยงกับความทรงจำของคนเป็นในCoco– แนวคิดเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมใน Wall-E และ Finding Nemo
ผลงานของพิกซาร์ยุคหลัง
ในขณะที่ผลงานของพิกซาร์ในยุคหลังอย่างเรื่อง Soul และ Turning Red จะมาพร้อมประเด็นสดใหม่ ที่ทำให้นึกถึงผลงานของพิกซาร์ในยุครุ่งเรือง แต่น่าเสียดายที่ทั้งสองเรื่องเข้าฉายในยุคโควิด จึงไม่มีโอกาสได้เฉิดฉายบนตารางหนังทำเงินส่วนหนังที่มีโอกาสได้ฉายในโรงภาพยนตร์อย่างเต็มตัวอย่างเรื่องLightyear, Strange World and Elemental กลับเป็นหนังที่ไม่มีประเด็นสดใหม่หรือแหลมคมมากพอที่จะดึงดูดให้ผู้ชมกลุ่มวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่เกิดความประทับใจต่อตัวหนังจนนำไปบอกต่อและเกิดกระแสปากต่อปาก
กลับกลายเป็นว่าอนิเมชั่นจากคู่แข่งอย่างPuss in Boots: The Last Wish ของ Dreams Work และ Spider-Man Across the Spider-Verse ของ Sony สามารถส่งมอบความรู้สึกที่อยู่เหนือความคาดหวังของผู้ชมได้มากกว่า ในขณะที่ผู้ชมรุ่นเล็กก็จะถูกใจกับอนิเมชั่นที่มีเนื้อเรื่องง่ายๆ แต่มีตัวการ์ตูนที่น่าจดจำ และมีมุกตลกที่โดนใจเด็กๆอย่างMinions : The Rise of Gru และ The Super Mario Bros. Movie ของค่าย ILLUMINATION
นอกจากนี้การใส่ตัวละครที่เป็น LGBTQ+ เข้าไป ก็ส่งผลให้ภาพยนตร์เรื่องLightyear และ Strange World สูญเสียรายได้อย่างมหาศาลจากตลาดใหญ่อย่างประเทศจีน และตลาดใหญ่ๆอีกหลายๆประเทศที่รักร่วมเพศเป็นเรื่องผิดกฎหมาย
KUBET จริงๆโลกก็มาถึงขนาดนี้แล้วบางประเทศแอดเองก็ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงไม่ยอมรับเสียทีนะครับ
อย่างไรก็ตามหากมองไปที่ภาพใหญ่ดูเหมือนว่าดิสนีย์จะไม่ได้ประสบปัญหาเรื่องรายได้เฉพาะภาพยนตร์อนิเมชั่นเพียงเท่านั้น แต่ภาพยนตร์ที่คนแสดงหลายๆเรื่องยังสร้างความผิดหวังให้ผู้ชมกลุ่มใหญ่จนไม่สามารถทำเงินได้ตามเป้าหมายเช่นกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งหนังจากมาร์เวลที่ถือว่าเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งที่สุด แต่หนังบางเรื่องยังประสบปัญหาเรื่องรายได้และความพึงพอใจของผู้ชมในแง่ของความสนุกสนาน
20th Century Studios
ส่วนหนังของ20th Century Studios ก็ประสบความล้อเหลวเกือบยกแผง โดยไล่เรียงตั้งแต่ The New Mutants, The Call of the Wild, The Last Duel, West side story, The King’s Man, Death on the Nine and Amsterdam ภาพยนตร์เหล่านี้ล้วนเป็นผลงานของผู้กำกับระดับเกรดเอ นำแสดงโดยดาราระดับAlison brie และใช้ทุนสร้างสูงในระดับ80-100ล้านดอลลาร์ แต่กลับทำรายได้รวมทั่วโลกโดยเฉลี่ยอยู่ที่100ล้านดอลลาร์หรือต่ำกว่า100ล้านดอลลาร์เท่านั้น
เรียกได้ว่าตลอด3ปีที่20th Century Studios ย้ายจากบ้านเก่าคือ Fox มาอยู่ภายใต้ชายคาดิสนีย์มีเพียง Free guy และ Avatar the way of water แค่2เรื่องเท่านั้นที่เป็นหนังทำเงินถล่มทลาย ส่วนหนังทุนสูงเรื่องอื่นๆล้วนทำรายได้อยู่ในเกณฑ์ที่เรียกว่าหายนะทั้งสิ้น
ดิสนีย์ขาดทุนจนต้องเปลี่ยนCEO
ในช่วง2-3ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้Walt Disney มีผลประกอบการขาดทุนและมีมูลค่าทางการตลาดลดลงจาก 260,000 ล้านดอลลาร์ในปี2019 เหลือเพียง 167,000 ล้านดอลลาร์ในปี2022 ด้วยเหตุนี้ทางบอร์ดบริหารของทางดิสนีย์จึงตัดสินใจปลดบล็อคBob Chapek ออกจากตำแหน่ง CEOของบริษัท และได้ดึงตัวCEOคนเก่า Bob Iger ที่เคยนำพาดิสนีย์ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในธุรกิจภาพยนตร์ระหว่างปี2005-2019
โดยบ็อบไอเกอร์ได้ประกาศว่าดิสนีย์จำเป็นที่จะต้องมีการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหม่ และต้องมีการลดค่าใช้จ่ายบริษัทลง ซึ่งนั่นก็นำมาสู่การเลิกจ้างพนักงานมากถึง7000ตำแหน่ง นอกจากนี้บ็อบไอเกอร์ยังบอกอีกว่าดิสนีย์จะยังคงให้ความสำคัญกับความคิดสร้างสรรค์และการเล่าเรื่อง เพราะเขาถือว่านี่คือพื้นฐานสำคัญของศิลปะภาพยนตร์ซึ่งเป็นสิ่งขับเคลื่อนความก้าวหน้าของบริษัทมาโดยตลอด
จบไปแล้วกับเรื่องราว และข่าวคราววงในของดิสนีย์ในเรื่องของความขาดทุนและสูญเสียรายได้จำนวนมหาศาลใน2-3ปีที่ผ่าน แอดเป็นหนึ่งในแฟนคลับของดิสนีย์ที่ยังอยากให้ดิสนีย์ยังคงอยู่และไปได้ไกลกว่านี้ ขอเป็นหนึ่งในกำลังใจ และจะคอยซัพพอร์ตในฐานะแฟนคลับดิสนีย์ตั้งแต่เด็กคนหนึ่งนะครับ
KUBET เว็บไซต์ลับความบันเทิงระดับโลก ที่นี่คุณสามารถดูข่าวบันเทิงล่าสุด ชีวิตดารา ข่าวดารา ซุบซิบดารา ฯลฯ ให้คุณได้รู้จักและติดต่อนักร้องและดาราที่คุณชื่นชอบได้อย่างใกล้ชิด รวมถึงคุณสามารถอัปเดตหนังดัง ที่มาที่ไป เบื้องลึกเบื้องหลัง ของหนังหรือการ์ตูนที่คุณชื่นชอบได้ที่นี่เลย